Blockchain เทคโนโลยีที่ไม่ใช่แค่เรื่องเงินดิจิตอล


    ในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าคนไทยจะคุ้นหูกับคำว่า บล็อกเชน (Blockchain) ขึ้นเรื่อยๆ แต่ต้องยอมรับว่าความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีนี้ ส่วนใหญ่ยังจำกัดอยู่ที่การผูกติดอยู่กับในเรื่องของสกุลเงินดิจิตอล ที่รู้จักกันแพร่หลายที่สุดคงต้องยกให้ บิทคอยน์ (Bitcoin) ที่เคยบูมถึงจุดสูงสุดมาแล้ว ด้วยการสร้างมูลค่าอัตราแลกเปลี่ยนสูงเป็นร้อยเท่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินที่มีการใช้จริงในโลกกายภาพ อย่าง เหรียญและธนบัตรเป็นต้น

     อย่างไรก็ตาม ด้วยจุดเด่นเรื่องความปลอดภัยและความรวดเร็วในการแลกเปลี่ยนข้อมูลจำนวนมหาศาล ทำให้จากนี้ไปบล็อกเชนจะขยับขึ้นมามีบทบาทในการทำกิจกรรมในหลากหลายธุรกิจเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและที่สำคัญคือมันอยู่ใกล้ตัวผู้บริโภคอย่างเราๆ ยิ่งขึ้น


     แมททิว ควน (Matthew Kuan) ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและโซลูชั่นความปลอดภัย ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และฮ่องกง ฟอร์ติเน็ต (Fortinet, Inc.) บอกว่า “บล็อกเชน (Blockchain) เป็นเทคโนโลยีที่ในปัจจุบัน มิได้เป็นเพียงแค่สกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrencies) อีกต่อไป บล็อกเชนได้รับการยอมรับสูงมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ขยายขอบเขตการประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมหลากหลายประเภทและภาคเศรษฐกิจมากมาย”

     รายงานของ ไอดีซี (IDC) ล่าสุดได้คาดการณ์ถึงการใช้โซลูชั่นบล็อกเชนระหว่างปี 2560-2565 ว่าจะมีอัตราการเติบโตทั่วโลกต่อปี (CAGR) สูงถึง 73.2% หมายถึงยอดการลงทุนในเทคโนโลยีบล็อกเชนทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นจาก 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2561 เป็น 11.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2565 โดยภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมประเทศญี่ปุ่น) บล็อกเชนจะมีอัตราการเติบโต CAGR ใกล้เคียงกับส่วนอื่นๆ ของโลกที่ 72.6% อย่างไรก็ตาม คาดว่าญี่ปุ่นจะเป็นผู้นำการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนมากที่สุดในโลก โดยคาดการณ์การเติบโต CAGR อยู่ที่ 108.7%


    วิไลพร ทวีลาภพันทอง หุ้นส่วนสายงานธุรกิจที่ปรึกษา บริษัท PwC Consulting (ประเทศไทย) บอกว่า บล็อกเชนได้รับการขนานนามจากทั่วโลกว่า เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเปลี่ยนโฉมหน้าของการทำธุรกิจ เพราะเป็นระบบที่แยกเก็บบัญชีธุรกรรมไว้ในที่ต่างๆ โดยกระจายฐานข้อมูลแยกศูนย์แต่สามารถเชื่อมต่อเครือข่ายแบบเพียร์ทูเพียร์ (Peer to Peer) หรือระบบที่ทุกคนแชร์ข้อมูลกันไปมาโดยไม่มีศูนย์กลางได้ ทำให้ลดภาระค่าใช้จ่าย และสามารถตรวจสอบและเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น นอกจากนี้ เทคโนโลยีบล็อกเชนยังมีความเที่ยงตรงสูง จึงสร้างความโปร่งใส และความเชื่อมั่นให้แก่ธุรกิจมากขึ้น

          ผลสำรวจ Global Blockchain Survey 2018 ที่จัดทำโดย PwC ได้สอบถามความคิดเห็นของผู้บริหารจำนวน 600 คนจาก 15 ประเทศ เกี่ยวกับการเข้ามาของเทคโนโลยีนี้ พบว่า 84% ของผู้บริหารทั่วโลกได้มีการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจของตน บริษัทวิจัยและวิเคราะห์ข้อมูลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศชั้นนำของโลกอย่าง การ์ทเนอร์ (Gartner) ก็คาดการณ์ว่า บล็อกเชนจะสามารถสร้างมูลค่าทางธุรกิจได้มากกว่า 300 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2573 ปัจจุบันอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน เป็นผู้นำตลาดในการใช้บล็อกเชน รองลงมาคือ อุตสาหกรรมการผลิต อุตสาหกรรมพลังงานและสาธารณูปโภค

บล็อกเชนอยู่ใกล้ตัวมากขึ้น


        ทั้งนี้ PwC ระบุอีกว่า ธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นกำลังขยับเข้ามาสู่โลกของบล็อกเชนเช่นกัน ได้แก่ ธุรกิจค้าปลีก ที่นำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในการจัดการระบบซัพพลายเชน ธุรกิจสื่อและบันเทิง อย่างวงการเพลง ที่นำบล็อกเชนเข้ามาช่วยในการแก้ปัญหาการดาวน์โหลดเพลง การคัดลอกเพลง รวมทั้งผู้บริโภคยังสามารถเลือกฟังเพลงที่ต้องการ และจ่ายเงินให้แก่ศิลปินโดยตรงผ่านระบบบล็อกเชนในรูปแบบสกุลเงินดิจิทัล โดยไม่ผ่านแพลตฟอร์มตัวกลางหรือค่ายเพลงได้อีกด้วย

          สำหรับประเทศไทย ภาคธุรกิจและหน่วยงานกำกับต่างตื่นตัวในการพัฒนาและประยุกต์ใช้ระบบบล็อกเชนมากขึ้น เมื่อปีที่ผ่านมา ธนาคาร 14 แห่ง จับมือกับรัฐวิสาหกิจและองค์กรขนาดใหญ่ 7 แห่ง จัดตั้งชุมชน Thailand Blockchain Community Initiative เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชน อีกทั้งได้ริเริ่มโครงการบริการหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์บนระบบบล็อกเชนเป็นโครงการแรก ควบคู่กับการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ริเริ่มสร้างสกุลเงินดิจิทัลสัญชาติไทย “อินทนนท์” ขึ้นมาเป็นโครงการนำร่อง

บล็อกเชน ต่อยอดสู่โซลูชั่นด้านการแพทย์ 

    ขณะที่ มีบทความน่าสนใจในเว็บไซต์ของดิจิทัล เวนเจอร์ส (Digital Ventures) ได้เอ่ยถึงเทคโนโลยีบล็อกเชน ในบทบาทของโซลูชั่นใหม่สำหรับวงการแพทย์ รวมถึงการพัฒนาต่อยอดจนเกิดเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง Smart Contract ด้วยคุณสมบัติของบล็อกเชนในเรื่องของการแชร์ข้อมูลที่โปร่งใสและปลอดภัย

    “เป็นที่ทราบกันดีว่าระบบต่างๆ สำหรับวงการแพทย์หรือการบริการด้านสุขภาพนั้น มักมีขั้นตอนที่ค่อนข้างเยอะ และมีการทำงานที่ค่อนข้างช้า โดยเฉพาะการจัดการกับระบบข้อมูลของผู้ป่วยที่มักมีข้อจำกัดเรื่องการแลกเปลี่ยนและส่งต่อข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ประวัติการรักษาข้ามโรงพยาบาล ที่ต้องได้รับการยืนยันจากตัวบุคคลนั้นก่อน จึงจะสามารถเปิดเผยได้ ซึ่งขั้นตอนในการยืนยันตัวตนเหล่านี้ส่งผลให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ล่าช้า ซึ่งในบางครั้งก็เกิดผลกระทบที่รุนแรงต่อผู้ป่วยบางราย”
    
    ยกตัวอย่างความสามารถในการช่วยให้การจัดการและการส่งต่อข้อมูลในวงการแพทย์เป็นไปไปอย่างรวดเร็วและปลอดภัย เช่น กรณีการย้ายโรงพยาบาล ผู้ป่วยจะไม่จำเป็นต้องยืนรอต่อคิวเพื่อกรอกประวัติใหม่ รวมไปถึงช่วยเพิ่มศักยภาพในการวินิจฉัยโรคต่างๆ ให้ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น เนื่องจากมีการส่งต่อข้อมูลจากโรงพยาบาลเก่า เพื่อนำมาประกอบการวินิจฉัยครั้งใหม่ได้ นอกจากนี้ บล็อกเชน ยังสามารถช่วยผู้ป่วยตรวจสอบราคาที่เป็นธรรมได้อีกด้วย เช่น หากแพทย์มีการสั่งใบจ่ายยา ผู้ป่วยก็จะสามารถเช็กได้ว่าราคาที่ต้องจ่ายนั้นเหมาะสมกับราคาที่ซื้อขายกันอยู่ในตลาดหรือไม่

📊 สมัครเว็บไซต์ Bitkub คลิกที่นี่

🎥 รับชมวีดีโอสอนเบื้องต้น คลิกที่นี่

----------------------------------------------------------------------------

⚠️ จงเป็นนักลงทุนอย่างชาญฉลาดโปรดอ่านคำเตือนทุกครั้ง !!! Risk Warning : คำเตือน การลงทุนทั้งหลายล้วน มีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุนและปฎิบัติด้วยตัวเอง - ผู้สนใจลงทุนควรใช้ข้อมูลในเว็บไซต์นี้เป็นข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น และอ่านนโยบายการเงินจากโบรกเกอร์ในแต่ละตลาดทุกครั้ง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลอ้างอิงประกอบอย่างรอบคอบก่อนการตัดสินใจลงทุน · ในการลงทุน ซื้อ - ขายในตลาดลงทุนใด ๆ ผู้ลงทุนควรตระหนักถึงความเสี่ยงและความเป็นไปได้ที่จะได้รับเงินลงทุนคืนน้อยกว่าจำนวนเงินลงทุน - อย่าหลงเชื่อใครใดๆที่แนะนำว่ามีบริการโอนเงินดังกล่าว เพื่อรับฝากเงินลงทุน ซื้อ-ขาย แทนท่าน โดยที่ไม่ต้องทำเอง เพื่อป้องกันมิจฉาชีพหลอกเอาเงินทุนท่านไประดมทุน · การลงทุนมิใช่การฝากเงิน และจะไม่ได้รับการค้ำประกันจากสถาบันผู้รับฝากหรือหน่วยงานราชการใดๆ ทั้งสิ้น

👇 กดปุ่มแชร์ความรู้ได้ที่นี่

🔥 บทความที่ได้รับความนิยม

👨‍💻👩‍💻 จำนวนการดูหน้าเว็บวันนี้

- SPONSORED | ผู้สนับสนุน -