7 สกุลเงินดิจิตอล ที่ "ก.ล.ต." อนุญาตให้ซื้อ-ขายได้ในไทย


    รอคอยกันมานานสำหรับหลักเกณฑ์การซื้อ-ขาย สกุลเงินดิจิตอล หรือ ดิจิทัล แล้วแต่จะเรียก (Crypto Currency) ในที่สุด สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ก็ได้ออกมาให้ความชัดเจนแล้วว่า การซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิตอลในไทย ต้องผ่าน 7 สกุลเงินดิจิตอล นี้เท่านั้น ประกอบด้วย Bitcoin, Bitcoin Cash, Ethereum, Ethereum Classic, Litecoin, Ripple และ Stellar เนื่องจากถูกมองว่ามีความน่าเชื่อถือและได้รับความนิยม ทำให้มีสภาพคล่องสูง เหมาะกับการใช้งาน ทีมงาน Thai Forex Room จึงไม่รอช้าที่จะพาไปรู้จักกับทั้ง 7 เงินดิจิตอลที่ ก.ล.ต. ให้การยอมรับกันเลย

1. Bitcoin (BTC)


    แน่นอน Bitcoin เป็นเงินดิจิตอลที่หลายคนรู้จักกันดีอยู่แล้ว เพราะเป็นสกุลแรกของโลกที่ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อปี พ.ศ. 2552 โดยโปรแกรมเมอร์ที่ใช้นามแฝงว่า "ซาโตชิ นากาโมโต้" ซึ่ง Bitcoin จะทำงานภายใต้ระบบที่เรียกว่า Blockchain เพื่อช่วยป้องกันการปั๊มเงินออกมาเรื่อย ๆ ตามใจชอบ โดยกำหนดปริมาณเงินในระบบไว้ไม่เกิน 21 ล้านหน่วย จะได้ไม่เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรวดเร็วนั่นเอง 

    และถึงแม้ปัจจุบันจะมีเงินดิจิตอลออกมามากมาย แต่ Bitcoin ก็ยังเป็นเงินดิจิตอลที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุน และได้รับการยอมรับในซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนมากที่สุดอยู่ดี ด้วยมูลค่าการตลาดปัจจุบัน (เดือนกรกฎาคม 2562) ที่ทะลุ 2.26 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 72 ล้านล้านบาท) ไปแล้ว ทิ้งห่างคู่แข่งแบบไม่เห็นฝุ่นเลยทีเดียว 

2. Bitcoin Cash (BCH)

    สิ่งที่น่าสนใจของ Bitcoin Cash คือ เป็นสกุลเงินที่ทีมพัฒนาแยกตัวออกมาจาก Bitcoin เพราะต้องการสกุลเงินดิจิตอลที่มีค่าโอนถูกลง แต่โอนได้รวดเร็วขึ้น จึงตัดสินใจออกมาสร้างสกุลเงินใหม่ในปี 2560 ซึ่งใช้เวลาเพียงไม่นาน Bitcoin Cash ก็ได้รับการยอมรับและประสบความสำเร็จอย่างมาก จนกลายเป็นเงินดิจิตอลมาแรงที่มีมูลค่าตลาดสูงติดอันดับต้น ๆ ปัจจุบัน (เดือนกรกฎาคม 2562) Bitcoin Cash มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 7.57 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 2.3 แสนล้านบาท 

3. Ethereum (ETH) 

     Vitalik Buterin เป็นผู้ที่พัฒนาเงินสกุล Ethereum ขึ้นมาในปี 2556 จนทำให้เขาได้รับการยอมรับอย่างสูงในวงการเงินดิจิทัล ด้วยความสามารถอันโดดเด่นของ Ethereum ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลายธุรกรรม โดยเฉพาะการเป็นฐานในการระดมทุนทำ  ICO (Initial Coin Offering) ของเงินดิจิทัลสกุลใหม่ ๆ ทั่วโลก 

     อีกทั้ง Ethereum ยังถูกยอมรับจากหลายองค์กรชั้นนำ โดยมีการก่อตั้งกลุ่มที่ชื่อว่า EEA หรือ Enterprise Ethereum Alliance เพื่อร่วมกันพัฒนาวิจัยเพิ่มความสามารถของ Ethereum ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 116 บริษัท เต็มไปด้วยบริษัทชื่อดังมากมาย ทั้ง Microsoft, JP Morgan, Toyota และ Intel ทำให้ปัจจุบัน (เดือนกรกฎาคม 2562) Ethereum มีมูลค่าสูงถึง 3.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.04 ล้านล้านบาท เป็นรองแค่บิทคอยน์เท่านั้น

4. Ethereum Classic (ETC)

    Ethereum Classic เป็นอีกหนึ่งสกุลเงินที่แยกตัวออกมาจาก Ethereum เพราะทีมพัฒนาบางกลุ่ม ไม่เห็นด้วยกับเรื่องการแก้ปัญหาของ Ethereum ที่ถูกแฮกระบบ จึงออกมาพัฒนา Ethereum Classic ในปี 2559 ซึ่งปัจจุบัน (เดือนกรกฎาคม 2562) มีมูลค่ารวมอยู่ที่ 9.14 ร้อยล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 2.8 หมื่นล้านบาท  

5. Litecoin (LTC)

    เป็นสกุลเงินดิจิตอลที่มีจุดเด่นในเรื่องของความเร็วในการประมวลผลทำธุรกรรมต่าง ๆ ซึ่งว่ากันว่าเร็วกว่า Bitcoin ถึง 4 เท่า แถมค่าธรรมเนียมยังถูกกว่าอีกด้วย ซึ่ง Litecoin ถูกพัฒนามาตั้งแต่ปี 2554 โดย Charlie Lee อดีตวิศวกรของ Google และปัจจุบันถูกขุดพบไปแล้วประมาณ 62 ล้านเหรียญ คิดเป็นมูลค่าราว 7.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 2.3 แสนล้านบาท

6. Ripple (XRP)

    Ripple เป็นเงินดิจิตอลที่แตกต่างจากสกุลเงินอื่น ๆ เพราะออกแบบภายใต้ระบบ Private Blockchain โดยมีบริษัท Ripple เป็นผู้ดูแลปริมาณเงินในระบบทั้งหมด ทำให้นักลงทุนไม่สามารถขุดได้ ด้วยเหตุผลที่ต้องการให้ Ripple มีความเสถียรและเป็นเงินดิจิทัลหลักสำหรับใช้แลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ   
    จึงทำให้ Ripple เป็นที่ยอมรับในวงกว้างของสถาบันการเงินและบริษัทชั้นนำทั่วโลก ทั้ง Google, SBI Group, Standard Chartered และ Seagate ไม่เว้นแม้แต่สถาบันการเงินในไทย อย่างธนาคารไทยพาณิชย์ ก็ได้มีการเข้าไปลงทุนกับ Ripple ศึกษาการใช้เทคโนโลยีทางการเงิน (Fintech) เพื่อพัฒนาการโอนเงินข้ามประเทศผ่านระบบออนไลน์ให้สะดวก รวดเร็ว และลดค่าใช้จ่ายให้มากยิ่งขึ้น 

7. Stellar (XLM)

    Stellar เป็นสกุลเงินที่ถูกพัฒนาต่อยอดมาจาก Ripple ที่มีจุดประสงค์เพื่อเป็นเงินดิจิตอลสำหรับถ่ายโอนแลกเปลี่ยนกับสกุลเงินหลัก แต่จุดที่ Stellar แตกต่างออกไปคือการออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานของคนทั่วไป ที่ถ่ายโอนเงินจำนวนไม่มาก ตรงกันข้ามกับ Ripple ที่จะเน้นกลุ่มองค์กรและสถาบันการเงินเป็นหลัก 

    นอกจากนี้ สิ่งที่ทำให้ Stellar เริ่มน่าสนใจขึ้นเรื่อย ๆ ก็คือการประกาศความร่วมมือกับ IBM บริษัทไอทีรายใหญ่ของโลก เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์ม Blockchain Banking Solution ที่มีเป้าหมายลดระยะเวลาการทำธุรกรรมชำระเงินข้ามประเทศ จึงทำให้ Stellar เป็นสกุลเงินที่หลายคนกำลังจับตามอง 

          อย่างไรก็ตาม แม้กฎหมายเงินดิจิตอลในไทยจะเริ่มมีความชัดเจนและได้รับการยอมรับมากขึ้น แต่การลงทุนในเงินดิจิตอลก็ยังคงมีความเสี่ยงสูงเมื่อเทียบกับการลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ ดังนั้น ใครที่จะเข้าไปลงทุนหรือทำธุรกรรมต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องมีความรอบคอบและศึกษาข้อมูลให้ดี ไม่อย่างนั้นอาจจะโดนหลอกหรือถูกเอาเปรียบได้ง่าย ๆ


📊 สมัครเว็บไซต์ Bitkub คลิกที่นี่

🎥 รับชมวีดีโอสอนเบื้องต้น คลิกที่นี่

----------------------------------------------------------------------------

⚠️ จงเป็นนักลงทุนอย่างชาญฉลาดโปรดอ่านคำเตือนทุกครั้ง !!! Risk Warning : คำเตือน การลงทุนทั้งหลายล้วน มีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุนและปฎิบัติด้วยตัวเอง - ผู้สนใจลงทุนควรใช้ข้อมูลในเว็บไซต์นี้เป็นข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น และอ่านนโยบายการเงินจากโบรกเกอร์ในแต่ละตลาดทุกครั้ง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลอ้างอิงประกอบอย่างรอบคอบก่อนการตัดสินใจลงทุน · ในการลงทุน ซื้อ - ขายในตลาดลงทุนใด ๆ ผู้ลงทุนควรตระหนักถึงความเสี่ยงและความเป็นไปได้ที่จะได้รับเงินลงทุนคืนน้อยกว่าจำนวนเงินลงทุน - อย่าหลงเชื่อใครใดๆที่แนะนำว่ามีบริการโอนเงินดังกล่าว เพื่อรับฝากเงินลงทุน ซื้อ-ขาย แทนท่าน โดยที่ไม่ต้องทำเอง เพื่อป้องกันมิจฉาชีพหลอกเอาเงินทุนท่านไประดมทุน · การลงทุนมิใช่การฝากเงิน และจะไม่ได้รับการค้ำประกันจากสถาบันผู้รับฝากหรือหน่วยงานราชการใดๆ ทั้งสิ้น

👇 กดปุ่มแชร์ความรู้ได้ที่นี่

🔥 บทความที่ได้รับความนิยม

👨‍💻👩‍💻 จำนวนการดูหน้าเว็บวันนี้

- SPONSORED | ผู้สนับสนุน -